วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ตลาดน้ำอัมพวา


ในอดีต อัมพวา ถือว่าเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางน้ำที่สำคัญของจังหวัดสมุทรสงคราม มีตลาดน้ำขนาด ใหญ่และชุมชนริมน้ำที่เป็นศูนย์กลางด้านพาณิชยกรรม แต่ผลกระทบของการพัฒนาการคมนาคมทางบก ทำให้ ความเป็นศูนย์กลางฯ ของอัมพวาต้องสูญเสียไป ตลาดน้ำค่อยๆลดความสำคัญและสูญหายไปในที่สุด ทิ้งไว้แต่ ร่องรอยของความเจริญในอดีตซึ่งยังคงปรากฏให้เห็นชัดเจนในทุกวันนี้ทางเทศบาลตำบลอัมพวาโดยความร่วมมือ ร่วมใจของประชาชนในท้องถิ่น ได้ฟื้นฟูตลาดน้ำอัมพวาขึ้นมาอีกครั้งเพื่ออนุรักษ์ความเป็นอยู่ของชุมชนริมน้ำ ซึ่งในปัจจุบันจะหาดูได้ยาก ให้สืบทอดตลอดไป โดยใช้ ชื่อว่า "ตลาดน้ำอัมพวายามเย็น"
ตลาดน้ำอัมพวา จะมีทุกวันศุกร์ วันเสาร์ และวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป ตลาดน้ำโดย ทั่วไปมัก จะจัดขึ้นในเวลากลางวัน แต่ตลาดน้ำยามเย็น ที่อัมพวาแห่งนี้ จะจัดขึ้นในช่วงงเวลาเย็นเรื่อยไปจนถึงเวลาพลบค่ำ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นตลาดน้ำแห่งแรกของประเทศไทย ที่จัดในลักษณะเช่นนี้ ในตอนเย็นชาวบ้านจะเริ่มทยอย พายเรือนำสินค้าหลากหลายนานาชนิด อาทิ อาหาร ผลไม้ พืชผัก ขนม ของกินของใช้ มาขายให้กับนักท่องเที่ยว หรือคนในท้องถิ่นที่สัญจรไปมาที่ตลาดอัมพวา ทำให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติของชีวิตของชุมชนริมน้ำ ซึ่งเป็นที่น่า ประทับใจอย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวสามารถที่จะหาซื้ออาหารมานั่งรับประทาน บริเวณริมคลองอัมพวาติดกับตลาดน้ำ ซึ่งได้มีการจัด สถานที่ไว้ ทำให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น


กิจกรรมของการท่องเที่ยวตลาดน้ำอัมพวา

1. ชิมอาหารพื้นบ้านทั้งคาวหวาน 
ใครที่มาเที่ยวตลาดน้ำ้อัมพวาแล้วไม่ได้มาชิม อาหารพื้นบ้านที่แม่ค้าและพ่อค้าพายเรือ มาขายให้เลือกซื้อเลือก ชิม กิน รวมถึงอาหารที่ขายอยู่ตามร้านอาหารบนฝั่งก็มีให้เลือกชิมเช่นกัน หากใครมาเที่ยวที่นี่ เมนูเด็กที่ไม่ควร พลาด คือ ปลาหมึกและกุ้ง ที่ย่างกันสดๆบนเตาพร้อมน้ำจิ้มรสแซ่บ ก๋วยเตี๋ยวเรือเลิศ รวมถึงขนมพื้นบ้านอย่าง ขนมไข่ที่มีวุ้น หลากสีสรรอยู่ข้างในน่ารับประทานยิ่งนัก ขนมหวานก็มีทองหยิบ ทองหยอด ขนมสอดไส้ เยอะแยะ มากมาย กินไป อยากหาเครื่องดื่มแก้กระหายน้ำก็มีกาแฟโบราณ น้ำผลไม้สมุนไพรต่างๆ ที่มีขายอยู่ทั่วไป ทั้งบน สองข้างทาง

2. เดินเยี่ยมชมร้านค้าขายของที่ระลึกและวิถีชีวิตชาวบ้าน
ตลาดน้ำอัมพวาทั้งสองข้างทางไม่ว่าจะฝั่งริมน้ำมีของที่ระลึกให้เราได้เข้าไปเลือกซื้อเลือกหามาฝากคนที่บ้าน เริ่มตั้งแต่ ของที่ระลึกยอดฮิตของตลาดน้ำอัมพวาที่เดินไปทางใดก็เหน็อยู่ตลอดทาง คือ โปสการ์ด ซึ่งบอกเล่า เรื่องราวของเมือง อัมพวานี้ได้เป็นอย่างดี หรือใครอยากได้เสื้อเก๋ๆจากที่นี่ซักตัวก็ลองเลือกแบบเลือกลายดูได้ แบบเก๋ไม่ซ้ำใคร เดินชม ไปตลอด 2 ฝั่ง ก็ชมวิถีชีวิตบ้านเรือนไม้สมัยก่อนไปด้วยก็เพลินดีแท้

3. ล่องเรือชมวิถีชีวิตริมน้ำ
ก่อนที่จะมาเที่ยวตลาดน้ำอัมพวาในตอนเย็น นักท่องเที่ยวบางคนก็นิยมล่องเรือชมทิวทัศน์ของแม่น้ำแม่กลองเพื่อชม วิถีชิตและบ้านเรือนริมน้ำ ที่จะได้เห็นตลอดทางที่เรือแล่นไป หรืออาจจะแวะชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างที่น่าสนใจ เช่นวัดบางแคน้อบ ค่ายบางกุ้ง โบสต์คริสต์ เป็นต้น

4. ล่องเรือชมหิ่งห้อย 
ถือเป็นไฮไลต์เด็ดของการมาท่องเที่ยวที่นี่เลยก็ว่าได้นักท่องเที่ยวที่มีความประสงค์จะนั่งเรือชม ประกายความ งามยาม ค่ำคืนชมหิ่งห้อย หรือล่องเรือท่องเที่ยวตามลำน้ำแม่กลอง ก็สามารถติดต่อเรือได้ 
ติดต่อโทร.089-415-4523 ,ท่าเรือคุณย่า 081-557-0824







ขอบคุณข้อมูลจาก..http://www.paiduaykan.com/76_province/central/samutsongkhram/ampawa.html

บุญบั้งไฟ ยโสธร

ประเพณีบุญบั้งไฟยโสธร



งานประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นงานประเพณีท้องถิ่นของชาวอีสาน ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต และ ความเชื่อทางศาสนาของชาวอีสานมาช้านาน โดยเชื่อว่าเมื่อเข้าสู่ฤดูกาลปักดำทำนา จะต้องจุดบั้งไฟขึ้นไปบูชาพญาแถนบนฟากฟ้า เพื่อขอให้พญาแถน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งฝน ได้ดลบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล เพื่อให้สรรพสิ่งบนผืนโลกได้ดำเนินวีถีชีวิตไปตามครรลองที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะผู้คนบนผืนดินอีสาน ที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับการทำใร่ทำนามาช้านาน ต้องอาศัยข้าวและพืชผลทางการเกษตรในการหล่อเลี้ยง ดำรงชีวิตมาโดยตลอด น้ำฝนจากฟ้าจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ คืองานประเพณีแห่ และจุดบั้งไฟจึงถูก สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อเป็นความหวัง และกำลังใจ ของชาวอีสานมาโดยตลอด

งานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธรจัด ณ สวนสาธารณะพญาแถน และเขตเทศบาลเมืองยโสธร ประเพณีบุญบั้งไฟ หรือบุญเดือนหก จัดขึ้นเป็นประจำปีทุกปี ในช่วงอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคม ก่อนที่จะถึงฤดูลงมือทำนา ทำไมงานบุญบั้งไฟของชาวยโสธรถึงน่าสนใจ เนื่องจากบุญบั้งไฟของชาวยโสธรเป็นบุญบั้งไฟนานาชาติโดยมีบั้งไฟจากประเทศญี่ปุ่น และประเทศเพื่อนบ้านมาร่วมงานทุกปี ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก และดึงดูดชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวชมจำนวนมาก มีการประกวดแห่เซิ้งบั้งไฟ บั้งไฟสวยงาม ประกวดกองเชียร์ การประกวดธิดาบั้งไฟโก้ ฯลฯ
ประเพณีบุญบั้งไฟตามตำนานเล่าว่า เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าถือชาติกำเนิดเป็นพญาคางคก ได้อาศัยอยู่ใต้ร่มโพธิ์ใหญ่ในเมืองพันทุมวดี ด้วยเหตุใดไม่แจ้ง พญาแถนเทพเจ้าแห่งฝนโกรธเคืองโลกมนุษย์มาก จึงแกล้งไม่ให้ฝนตกนานถึง ๗ เดือน ทำให้เกิดความลำบากยากแค้นอย่างแสนสาหัสแก่มวลมนุษย์ สัตว์และพืช จนกระทั่งพากันล้มตายเป็นจำนวนมาก พวกที่แข็งแรงก็รอดตายและได้พากันมารวมกลุ่มใต้ต้นโพธิ์ใหญ่กับพญาคางคก สรรพสัตว์ทั้งหลายจึงได้หารือกันเพื่อจะหาวิธีการปราบพญาแถน ที่ประชุมได้ตกลงกันให้พญานาคียกทัพไปรบกับพญาแถน แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ จากนั้นจึงให้พญาต่อแตนยกทัพไปปราบแต่ก็ต้องพ่ายแพ้อีกเช่นกัน ทำให้พวกสรรพสัตว์ทั้งหลายเกิดความท้อถอย หมดกำลังใจและสิ้นหวัง ได้แต่รอวันตาย
ในที่สุด พญาคางคกจึงขออาสาที่จะไปรบกับพญาแถน จึงได้วางแผนในการรบโดยปลวกทั้งหลายก่อจอมปลวกขึ้นไปจนถึงเมืองพญาแถน เพื่อเป็นเส้นทางให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายได้เดินทางไปสู่เมืองพญาแถน ซึ่งมีมอด แมลงป่อง ตะขาบ สำหรับมอดได้รับหน้าที่ให้ทำการกัดเจาะด้ามอาวุธที่ทำด้วยไม้ทุกชนิด ส่วนแมลงป่องและตะขาบให้ซ่อนตัวอยู่ตามกองฟืนที่ใช้หุงต้มอาหาร และอยู่ตามเสื้อผ้าของไพร่พลพญาแถนทำหน้าที่กัดต่อย หลังจากวางแผนเรียบร้อย กองทัพพญาคางคกก็เดินทางเพื่อปฏิบัติหน้าที่การรบ มอดทำหน้าที่กัดเจาะด้ามอาวุธ แมลงป่องและตะขาบกัดต่อยไพร่พลของพญาแถนจนเจ็บปวด ร้องระงมจนกองทัพระส่ำระสาย ในที่สุดพญาแถนจึงได้ยอมแพ้และตกลงทำสัญญาสงบศึกกับพญาคางคก ดังนี้
  • ถ้ามวลมนุษย์จุดบั้งไฟขึ้นสู่ท้องฟ้าเมื่อใด ให้พญาแถนสั่งให้ฝนตกในโลกมนุษย์
  • ถ้าได้ยินเสียงกบ เขียดร้อง ให้รับรู้ว่าฝนได้ตกลงมาแล้ว
  • ถ้าได้ยินเสียงสนู (เสียงธนูหวายของว่าว) หรือเสียงโหวด ให้ฝนหยุดตกเพราะจะเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวข้าว หลังจากที่ได้สัญญากันแล้ว พญาแถนจึงได้ถูกปล่อยตัวไปและได้ปฏิบัติตามสัญญามาจนบัดนี้




สถานที่จัดงาน

ณ สวนสาธารณพญาแถน และ เขตเทศบาลเมืองยโสธร
ชมขบวนแห่บั้งไฟ และการจุดบั้งไฟแสน และบั้งไฟหมื่น ชมวิถีของคนทำบั้งไฟ และบรรยากาศการทำบั้งไฟ เพื่อเป็นการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีของจังหวัดให้คงอยู่สืบไป โดยในปีนี้จะพัฒนารูปแบบให้ยิ่งใหญ่ขึ้น เช่น การสถาปนาความสัมพันธ์เป็นเมืองพี่เมืองน้อง หรือเมืองคู่แฝดทางวัฒนธรรมประเพณีบุญบั้งไฟกับริวเซอิ เพื่อสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกันครบรอบ 20 ปี นอกจากนี้้ยังขยายเชื่อมความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เวียดนาม และเกาหลี อีกด้วย



ขอบคุณข้อมูลจาก...http://www.tpa.or.th/industry/upload/content/ContentImg2534.jpg

เกาะสิมิลัน


วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวทะเลดับร้อนกันที่ "อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน" หมู่เกาะกลางทะเลอันดามันที่เป็นเลิศในด้านความงามของปะการังใต้ท้องทะเล อยู่ที่ตำบลเกาะพระทอง อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา ครอบคลุมพื้นที่ 80,000 ไร่ ประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2525 




       สำหรับคำว่า "สิมิลัน" เป็นภาษายาวีหรือมลายู แปลว่า เก้าหรือหมู่เกาะเก้า ทั้งนี้ หมู่เกาะสิมิลันเป็นหมู่เกาะเล็กๆ ในทะเลอันดามัน มีทั้งหมด 9 เกาะ เรียงลำดับจากเหนือมาใต้ ได้แก่ เกาะหูยง เกาะปายัง เกาะปาหยัน เกาะเมี่ยง (มี 2 เกาะติดกัน) เกาะปายู เกาะหัวกระโหลก ( เกาะบอน) เกาะสิมิลัน และเกาะบางู มีที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน อยู่ที่เกาะเมี่ยงเพราะเป็นเกาะที่มีน้ำจืด หมู่เกาะเหล่านี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหมู่เกาะที่มีความงามทั้งบนบกและใต้น้ำที่ยังคงความสมบูรณ์ของท้องทะเล สามารถดำน้ำได้ทั้งน้ำตื้นและน้ำลึก มีปะการังที่มีสีสันสวยงามหลายชนิด ปลาหลากสีสันและหายาก เช่น กระเบนราหู ปลาวาฬ ปลาโลมา ปลาไหลมอนเร่ ปลาการ์ตูน 
 หากใครคิดจะไปเที่ยวที่ "อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน" ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน เป็นช่วงที่น่าท่องเที่ยวมากที่สุด ส่วนช่วงเดือนพฤษภาคมถึงพฤศจิกายน เป็นฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ มีคลื่นลมแรงเป็นอันตรายต่อการเดินเรือ ซึ่งทางอุทยานแห่งชาติ จะประกาศปิดเกาะในเดือนพฤษภาคมเพื่อเป็นการฟื้นฟูธรรมชาติทุกปี 



          เอาล่ะ!! ได้เวลามาดูสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ภายในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันกันแล้ว
          เริ่มกันที่ "เกาะสิมิลัน" ก่อนเลยแล้วกัน... เพื่อนๆ รู้ไหมว่า จริงๆ แล้ว "เกาะสิมิลัน" เนี่ย มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "เกาะแปด" เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะสิมิลัน ลักษณะอ่าวเป็นรูปโค้งเหมือนเกือกม้า มีหาดทรายขาวละเอียดเนียนนุ่ม น้ำทะเลสีใสน่าเล่น แถมใต้ท้องทะเลยังมีปะการังสวยงามหลากหลายชนิด ทั้งปะการังเขากวาง ปะการังใบไม้ ปะการังสมอง ปะการังดอกเห็ดขนาดใหญ่ที่มีความสมบูรณ์ กัลปังหา พัดทะเล กุ้งมังกร และปลาประเภทต่างๆ ที่มีสีสันสวยงามมากมาย เป็นเกาะที่สามารถดำน้ำได้ทั้งน้ำลึกและน้ำตื้น ส่วนทางด้านเหนือของเกาะนั้นก็มีก้อนหินขนาดใหญ่รูปร่างแปลกตาชวนให้แปลกใจ เช่น หินรูปรองเท้าบู๊ท หรือรูปหัวเป็ดโดนัลด์ดั๊ก ตอนบนที่ตรงกับแนวหาดมีหินรูปเรือใบ ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม สามารถมองเห็นความสวยงามของท้องทะเลได้กว้างไกล (ว้าว...) 




การเดินทางไปอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน
          ท่าเรือทับละมุ อำเภอท้ายเหมือง อยู่ห่างจากอำเภอเมือง 70 กิโลเมตร ตามเส้นทางสายพังงา - ตะกั่วป่า และเป็นท่าเรือที่อยู่ใกล้อุทยานฯ ที่สุด ประมาณ 40 กิโลเมตร จากท่าเรือทับละมุใช้เวลาในการเดินทางไปหมู่เกาะสิมิลันประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง มีเรือให้เช่าหลายขนาด สำหรับ 30 คน ราคาประมาณ 10,000 บาท และ 40 คน ราคาประมาณ 12,000 บาท และใกล้ๆ บริเวณท่าเรือทับละมุมีที่ทำการอุทยานฯ ตั้งอยู่ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะเดินทางไปหมู่เกาะสิมิลัน มีเรือขนาด 80 คน ราคา 2,300 บาท/คน (ราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้) 



ขอบคุณข้อมูลจาก...http://travel.kapook.com/view668.html

ดอยอินทนนท์

ถ้าจะพูดถึงสถานที่ที่นักเดินทาง ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น อยากจะไปสัมผัสให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต ชื่อของ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ หรือ ดอยอินทนนท์ ก็น่าจะอยู่ในลิสต์อันดับต้น ๆ เพราะไม่ว่าจะรักการเที่ยวแบบชิลล์ ๆ หรือลุย ๆ สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งนี้ ก็พร้อมต้อนรับด้วยความงดงามของธรรมชาติอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นความอุดมสมบูรณ์ของ ป่าใหญ่ดึกดำบรรพ์ (Old growth forest) สภาพอากาศที่หนาวเย็นและชุ่มฉ่ำตลอดทั้งปี ทำให้มีมอส เฟิร์นและพืชอิงอาศัย (epiphyte) ชนิดอื่น ๆ ขึ้นปกคลุมตามลำต้นอย่างหนาแน่น ใครที่เดินทางมาเที่ยวจะต้องประทับใจกับสีสันของใบไม้ป่าผลัดใบ ที่กำลังจะผลัดใบในช่วงปลายปี 




 ส่วนต้นปี ดอกไม้นานาชนิดก็บานสะพรั่งอดไม่ได้ที่จะกดชัตเตอร์ฝากภาพสวย ๆ ฝากเพื่อน หรือจะเลือกชมความโล่งของป่าทุ่งหญ้าหรือไร่ร้าง หน้าผาอันสูงชัน ทำให้มองเห็นสภาพภูมิประเทศได้กว้างไกล เป็นแหล่งที่อยู่ที่สำคัญของกวางผาและนกชนิดต่าง ๆ ก็สนุกไม่แพ้กัน

          อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ มีพื้นที่อยู่ในท้องที่อำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่ม กิ่งอำเภอดอยหล่อ และอำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ สามารถเข้าถึงได้โดยใช้เส้นทาง เชียงใหม่-ฮอด (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108) ไปยังอำเภอจอมทอง 50 กม. ระยะทางประมาณ 50 กม. เลี้ยวขวาตามถนนสาย จอมทอง-ดอยอินทนนท์ (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1009) ประมาณ 8 กม. ก็จะเริ่มเข้าเขตอุทยานแห่งชาติที่บริเวณน้ำตกแม่กลาง และตัดขึ้นสู่ยอดดอยอินทนนท์เป็นระยะทางทั้งหมด 49.8 กม. ที่ทำการอุทยานแห่งชาติจะตั้งอยู่ที่กิโลเมตรที่ 31 








ขอบคุณข้อมูลจาก...http://travel.kapook.com/view684.html

ตลาดน้ำเพลินวาน

เพลินวาน Plearn Wan




เพลินวานหัวหิน ชื่อที่หลายคนเคยได้ยิน เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของหัวหิน นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวหัวหิน มักจะต้องมาเที่ยวที่นี่ด้วย
เสน่ห์ของเพลินวานหัวหิน ที่ทำให้ทุกคนอยากมาที่นี่ คือการที่หลายคนคิดถึงอดีต และอยากย้อนกลับไปสัมผัสบรรยากาศนั้นอีกครั้ง ในขณะที่เด็กรุ่นใหม่ ก็อยากเรียนรู้วิถีชีวิตของคนไทยสมัยก่อน ว่าใช้ชีวิตกันอย่างไร เช่นข้าวของ เครื่องใช้ อาหาร หรือกิจกรรม บันเทิงต่างๆ

เพลินวานหัวหิน สถานที่จำลองตลาดของไทยสมัยโบราณ ได้จำลองบรรยากาศให้เป็นแบบตลาดสมัยเก่าในช่วงปี 2499 ทั้งอาคาร สถานที่ ร้านค้า อาหาร ขนมไทย สินค้าของฝาก ของเล่น สวนสนุก หนังกลางแปลง ชิงช้าสวรรค์ รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ซึ่งกิจกรรมหลายอย่าง เกือบไม่มีให้เห็นแล้วในปัจจุบัน
สิ่งที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวเพลินวานหัวหินอีกอย่างคือ สิ่งของเครื่องใช้ อาหาร และกิจกรรมที่มีอยู่ภายในเพลินวาน หัวหิน นักท่องเที่ยวสามารถซื้อขาย และใช้บริการได้จริง ซึ่งจะไม่เหมือนกับการเที่ยวพิพิธภัณฑ์ ที่ไม่สามารถใช้บริการได้เลย

เพลินวานหัวหิน นอกจากจะเป็นศูนย์รวมเรื่องราวในสมัยเก่า ให้ทุกคนได้มาเพลิดเพลิน เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีตจริงๆ แล้ว นอกจากการได้เลือกชม เลือกซื้อสินค้า ของฝาก ของขวัญ รับประทานอาหาร ขนม เครื่องดื่ม และรวมกิจกรรมภายในเพลินวานแล้ว
เพลินวานหัวหิน ยังมีบริการห้องพักคลาสสิกสไตล์เรโทร (Retro) ชื่อ พิมาน เพลินวาน ไว้บริการลูกค้าทั่วไป ภายในห้องพัก ถูกตกแต่งจำลองบรรยากาศห้องพักสมัยเก่า ทั้งอุปกรณ์ ข้าวของ เครื่องใช้ ที่ให้ให้ผู้มาพักรู้สึกถึงความแตกต่างจากโรงแรมทั่วไปที่เน้นความหรูหรา แต่ประทับใจในคุณภาพและการบริการ




ขอบคุณข้อมูลจาก...http://www.resorthuahin.com/Travel/plearnwan-huahin.html

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว 




เป็นวัดที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ภายในมีอาณาบริเวณ กว้าง ขวางรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นพร้อมกับพระบรมมหาราชวังและกรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งเป็น การสร้างวัด ในพระราชวังตามอย่างวัด พระศรีสรรเพชญ์องกรุงศรีอยุธยา วัดนี้อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอก ทางทิศตะวันออก มีพระระเบียงล้อมรอบเป็นบริเวณ เป็นวัดคู่กรุงที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ใช้เป็นที่บวชนาคหลวง และประชุมข้าทูล ละอองพระบาทถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา

พระแก้วมรกต

เป็นพระประทับนั่งอย่างสมาธิราบในสกุลช่างล้านนา ประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 ถือเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง ซึ่งรัชกาลที่ 1 ได้ทรงอัญเชิญมาจากเมืองเวียงจันทร์  เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ซึ่งแกะสลักมาจากหยกสีเขียว เข้มที่มีค่าและหายากมาก พระแก้วมรกตจะมีเครื่องทรงที่แตกต่างกันไปในแต่ละฤดู ซึ่งเครื่องทรงเหล่านี้ทำด้วย ทองคำประดับเพชรและสิ่งมีค่าชนิดต่าง ๆ ถือเป็นพระราชกรณียกิจสำคัญประการหนึ่งของ พระมหากษัตริย์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 1  จนถึงรัชกาลปัจจุบันที่จะต้องเสด็จ ฯ ไปทรงเปลี่ยนเครื่องทรงประจำฤดูด้วยตนเองซึ่งกำหนดวันเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกตมีดังนี้
วันแรม 1 ค่ำ เดือน 4 เปลี่ยนเครื่องทรงฤดูหนาวเป็นเครื่องทรงฤดูร้อน
วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 เปลี่ยนเครื่องทรงฤดูหนาวเป็นเครื่องทรงฤดูฝน
วันแรม 1 ค่ำ เดือน 12 เปลี่ยนเครื่องทรงฤดูหนาวเป็นเครื่องทรงฤดูหนาว






พระอุโบสถ
สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 เป็นพระอุโบสถขนาดใหญ่ หลังคาลด 4 ระดับ 3 ซ้อน มีช่อฟ้า 3 ชั้น ปิดทองประดับ กระจก ตัวพระอุโบสถมีระเบียงเดินได้โดยรอบ มีหลังคาเป็นพาไลคลุม รับด้วยเสานางรายปิดทองประดับกระจก ทั้งต้น พนักระเบียงรับเสานางราย ทำเป็นลูกฟักประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีอย่างจีน ตัวพระอุโบสถมี ฐานปัทม์ รับอีกชั้นหนึ่ง ประดับครุฑยุดนาคหล่อด้วยโลหะปิดทอง มีเสารายเทียนหล่อด้วยทองแดงล้อมรอบทั้งสี่ด้าน ผนังพระอุโบสถ ในรัชกาลที่1 เขียนลายรดน้ำบนพื้นชาดแดง รัชกาลที่ 3 โปรดเล้าฯ ให้ปั้นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ปิดทองประดับกระจก เพื่อให้เข้ากับผนังมณฑป ปิดทองประดับกระจก บานพระทวารและพระบัญชรประดับมุก ทั้งหมด ฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 1 ที่เชิงบันไดมีสิงห์หล่อด้วยสำริดบันไดละคู่ รวม 12 ตัว โดยได้แบบมาจาก เขมรคู่หนึ่ง แล้วหล่อเพิ่มอีก 10 ตัว
จิตรกรรมฝาผนังวัดพระแก้ว 
เป็นจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์รอบพระระเบียงวัด ร้อยเรียง เล่าขานตำนาน เรื่องรามเกียรติ์ถึง 178 ห้อง เป็นภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังที่ยาวที่สุดในโลก



ขอบคุณข้อมูล....http://www.paiduaykan.com/province/central/bangkok/watphrakaew.html

สวนนงนุช

สวนนงนุช เป็นสถานพักผ่อนหย่อนใจที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออก ภายในสวนมีบ้านทรงไทย สวนไม้ดอก ไม้ประดับ นานาชนิด สวนกล้วยไม้ สวนกระบองเพชร และสวนพฤกษชาติอื่น ๆ ภายใต้แนวคิดที่จะ " จัดสวนให้คนมาเที่ยว "ดังนั้นจึงเปลี่ยน สวนผลไม้ ให้เป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับ รวมถึงได้สร้างสิ่งปลูกสร้างและสิ่งอำนวย ความสะดวกต่างๆ ไว้ให้บริการสำหรับ นักท่องเที่ยว หรือผู้ที่สนใจที่จะเข้ามาเที่ยวชมสวน มีบริการเรือ- ชนิดต่าง ๆ ให้เช่าพาย เล่นในสระ มีสัตว์หลายชนิดเลี้ยงไว้ให้ชม มีศูนย์แสดง ศิลปวัฒนธรรมไทยสำหรับ นักท่องเที่ยว จัดแสดง การฟ้อนรำพื้นเมือง ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว (กระบี่กระบอง ฟันดาบ) กีฬา พื้นเมือง และการแสดง ของช้าง  ในปัจจุบันสวนนงนุชพัทยา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับแนวหน้า โดยมีผู้เข้าเยี่ยม ชมประมาณ วันละ 2,000 คนเพราะสวนนงนุชเองมีการปรับปรุงและพัฒนารูปแบบของสวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผู้ที่เข้า มาเยี่ยมชมรู้สึกประทับใจ ในความงดงามของสวนสวยแห่งนี้

เนื่องจากสวนนงนุชมีพื้นที่กว้างขวางมาก มีสวนและสถานีให้แวะหลากหลายจุด  การเที่ยวชมสวนให้ทั่วเป็นไปได้ยาก เพราะฉะนั้น สนใจ ชมสวนแบบใดก็มาร์คจุและมุ่งหน้าไปตามแผนที่ที่ได้รับจากแจก จากจุดประชาสัมพันธ์ ซึ่งการมาเที่ยวที่นี่ควรมาแต่เช้า เนื่องจากช่วงเที่ยวแดดจะร้อนมากอาจจะทำให้เหนื่อยและเที่ยวได้น้อยลง การเข้าชมอาจจะขับรถส่วนตัวไปยังจุดต่างๆ แล้วจอดรถ ไว้ยังจุดจอดรถ แล้ว เดินโดยใช้ทางเดินลอยฟ้าไปยังจุดต่างๆก็ได้  หรือใช้บริการรถรถนำเที่ยวของสวนนงนุช หรือสำหรับใครที่ชอบปั่นจักรยานก็มีให้เช่าเป็นรายชั่วโมง







ลิ้นแม่ยาย
เป็นไม้ตระกูลที่ใช้น้ำน้อย การจัดแสดงโดยการไต่ระดับของสวนลิ้นแม่ยายเป็นการใช้เสน่ห์ของรูปลักษณ์ใบไม้และสถาปัตกรรม เชิญชวนให้ชื่นชมและมองในมุมที่แปลกตา

สวนรถ
สวนรถคือ ที่รวบรวมรถสปอร์ต และรถแปลก ๆ เป็นการสะสมที่หาดูยาก

สวนประติมากรรมสัตว์
โดยจำลองเป็นรูปปั้นสัตว์ขนิดต่าง เช่น  นกฮูก  นกเพนกวิน  แพนด้า ลีเมอร์  หอยทาก มดตะนอย  ม้าลาย เสื้อซีตาร์

สวนสัตว์ 
เพลิดเพลินกับบรรดาสัตว์น่ารัก แสนรู้ และเข้าชมได้อย่างใกล้ชิด และปลอดภัย

ตึกมด
ตึกมดถือเป็น Landmark สำคัญอีกที่หนึ่งของสวนนงนุชพัทยา ซึ่งเป็นตึกที่มีกองทัพมดตัวขนาดเล็กและใหญ่มากกว่ากว่า 5000 ตัว หลากสีสันสดใสสวยงาม เกาะผนังสูงและเป็นสัญลักษณ์ถึงความรัก ความสามัคคี ของทีมงานสวนนงนุชพัทยา

สวนอิตาเลียน
การออกแบบจัดสวนแบบอิตาลี จะให้ความสำคัญกับการสร้างความสมดุลของทัศนียภาพสวนโดยรวมมีการแบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนๆ เช่น ส่วนที่เป็นสวนไม้พุ่ม ไม้ยืนต้น ที่พัก ส่วนที่เป็นน้ำตก น้ำพุ ซึ่งจะมีน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญ ในรูปของสระน้ำ บ่อน้ำ สร้างจุดเด่นด้วย รูปทรงน้ำพุ และใช้ประติมากรรมมาประกอบตกแต่งสวน

สวนไม้ด่าง
เป็นสวนที่รวบรวมพันธุ์ไม้หลายชนิด ที่มีลักษณะ “ด่าง” จำนวน 67 ชนิด เพื่อใช้ในการศึกษา

สวนช้างแมมมอธ
เป็นงานประติมากรรมรูปช้างแมมมอธ ที่รายเรียงอยู่ทั่วบริเวณ สลับกับสวนไม้ประดับที่มีการตัดแต่งรูปทรงต่าง ๆ ให้คงรูปสวยงาม ตลอดเวลา

สวนรูปหัวใจ
การจัดสวนใช้พันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ มาจัดตกแต่งเป็นรูปทรงหัวใจ อีกยังใช้ในการจัดกิจกรรม “จดทะเบียนบนหลังช้าง” เป็นกิจกรรม ที่ทางสวนนงนุชได้จัดขึ้นเป็นพิเศษในวันวาเลนไทน์

หุบเขาปรง
หุบเขาปรง เป็นการนำต้นปรง หลากหลายสายพันธุ์มาจัดเรียงสลับกันกับหินที่ซ้อนทับวางไล่ระดับลดหลั่นกันไป จนมีลักษณะ เหมือนหุบเขา

สกายวอล์ค
สกายวอล์คเป็นเส้นทางเดิน ที่สามารถมองจากมุมด้านบน  (Bird Eye View) มีระยะทางยาวกว่า 3 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวจะเพลิดเพลิน กับอีกมิติหนึ่งของโครงสร้างการจัดภูมิทัศน์สัตว์ โดยสามารถมองเห็นบริเวณที่สวยงาม ตามจุดต่างๆได้ทั่วบริเวณสวน เช่น สวนฝรั่งเศส สโตนเฮนจ์ เนินลายผีเสื้อ สวนยุโรป สวนปาล์ม และสวนตุ๊กตากระถาง ที่สวยงาม แปลกแตกต่างไปจากการเดินชมสวนตามปกติ

สวนชายน้ำ
เป็นสวนไม้ดอกสีสันสดใสหลากหลายชนิด เช่น หงอนไก่ สร้อยไก่ แววมยุรา แพงพวย ฯ ซึ่งได้ปรับเปลี่ยนมาจากสวนไม้ประดับ มาตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) การจัดสวนได้จัดเป็นแถวเป็นแนวรูปทรงต่างๆ เช่น วงกลม วงรี ลดหลั่นกันบนเนินดินริมทะเลสาบ จรดกับห้องอาหารพลับพลึง และสวนแห่งนี้นี่เองกลายเป็นจุดเด่นในการถ่ายรูป ที่นักท่องเที่ยวนิยมกันมาก

อากาเว่
เป็นต้นไม้ที่อยู่ในตระกูลพืชใช้น้ำน้อย เหมาะที่จะนำมาตกแต่งไว้ในมุมสูงที่รับแสงแดด และให้อารมณ์การมองเป็นสวนสวยแบบแนวตั้ง ไล่เรียงระดับสายตา โดยใช้ลักษณะใบของอากาเว่เป็นแนวนำทางสายตาไต่ระดับจากมุมต่ำไปหามุมสูง

สวนดอกไม้
เป็นการนำเอาไม้ดอกไม้ประดับ ที่มีสีสันสดใสหลากหลายชินด นำมาจัดแสดงเป็นแนวรูปทรงต่าง ๆ มุ่งเน้นในการถ่ายรูป

สวนลายปีกผีเสื้อ
สวนบนเนินไม้ประดับ ที่มีลวดลายและสีสันในตัวเอง จัดปลูกบนเนินดิน วางรูปแบบให้คล้ายกับลายของปีกผีเสื้อ มีความงดงามสบายตา พร้อมด้วยน้ำพุด้านหน้าสวน

สวนนานาพรรณ
เป็นสวนที่รวบรวมพันธุ์ไม้หายากและพันธุ์ไม้ขนาดเล็กไม่เหมือนพันธุ์อื่น ๆ ทั่วไป รวมทั้งสมุนไพรไทยและไม้หอม บริเวณสวนนี้ จะมีทางเดินให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมพันธุ์ไม้ได้อย่างทั่วถึง

สวนบอนไซ
บอนไซ เป็นศิลปะของการทำต้นไม้ ให้มีขนาดเล็กที่มีมาแต่โบราณ เพลิดเพลินในการชื่นชมกับรูปทรงของลักษณะ ต้นและใบ ใช้งานหัตถศิลป์ การปั้นรูปเต่าเป็นฐานรองรับกระถางบอนไซ ทำให้ดูสวยงามแปลกตาและทรงคุณค่ามากขึ้น

สวนไม้ตัดแต่ง
เป็นสวนไม้ประดับ ที่ตัดแต่งเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ อย่างสวยงามแปลกตา หลายขนาดไล่เรียงต่างระดับกัน ยืนต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือน

สวนข่อยดัด
เป็นสวนต้นข่อย ที่ตัดแต่งเป็นรูปร่างต่าง ๆ ที่พิเศษแปลกตา แสดงให้เห็นถึงศิลปะการตัดแต่งที่พิถีพิถันและสวยงาม หาชมจากที่อื่นยากยิ่ง

สวนไม้ลอยน้ำ
การจัดสวนในแนวคิดใหม่ ใช้พันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ มาจัดตกแต่งเป็นลวดลายต่าง ๆ ลงในแพลอยน้ำกลางทะเลสาป

สวนสับปะรดสี
ชมความงามหลากหลายสีสันของสับปะรดสีมากกว่า 300 ชนิด ทั้งพันธุ์แท้ของประเทศไทยและนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งจัดตกแต่ง อย่างสวยงาม โชว์ความงามของดอกและใบ ในเรือนแสดงที่จัดได้ให้ใกล้เคียงกับธรรมชาติ

สวนตะบองเพชร
ชมความงดงามของตะบองเพชรและไม้อวบน้ำพันธุ์ต่าง ๆ หลากหลายสายพันธุ์มากกว่า 300 ชนิด จากทั่วทุกมุมโลก ที่มีทั้งขนาดเล็กใหญ่ และเสน่ห์ของดอกตะบองเพชรที่สวยงามตามช่วงเวลาและฤดูกาลที่มีอายุมากกว่า 35 ปี

สวนปรง
เป็นสวนที่รวบรวมพันธุ์ปรงมากกว่า 280 ชนิด และนำมาใช้ตกแต่งประดับสวนสวยบริเวณอื่นให้มีความโดดเด่น

สวนพฤกษศาสตร์
เป็นสถานที่สำหรับรวบรวมพันธุ์ไม้ในตระกูลต่าง ๆ ตามรูปแบบทางพฤกษศาสตร์

ทางเดินแคริบเบียน
ทางเดินแคริบเบียน เป็นบริเวณที่รายล้อมไปด้วยปาล์ม และปรงจากหมู่เกาะแคริบเบียน

สวนปาล์ม
เป็นสวนที่รวบรวมพันธุ์ปาล์มจากทั่วทุกมุมโลกไว้มากกว่า 1000 ชนิด สวนนงนุชพัทยาใช้เป็นที่ แสดงพันธุ์ปาล์มให้กับคณะผู้เข้าร่วม ประชุมปาล์มโลก เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2541(ค.ศ.1998) เป็นเจ้าภาพจัดประชุมปาล์มโลกอีกครั้ง ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2555 (ค.ศ.2012) ซึ่งทำให้สวนนงนุชพัทยาเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก

สโตนเฮ้นจ์
 เป็นการนำเอาหินวางเรียงกันเป็นวงกลมจำลองจากสถานที่สำคัญ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ ของโลกที่มีอายุมากกว่า 4000 ปี ที่ประเทศอังกฤษ  ลดความแข็งของหินเพิ่มความสวยงามโดยปลูกไม้ดอกไม้ประดับที่มีสีสันเข้าไป ทำให้ตื่นตาตื่นใจสำหรับผู้ได้พบเห็น

สวนฝรั่งเศส
จำลองแบบการจัดสวนจากพระราชวังแวร์ซาย ประเทศฝรั่งเศส ที่มีลายเส้นของการจัดสวนอยู่บนพื้นฐานของรูปทรงเรขาคณิต ในพื้นที่ เกือบ 10 ไร่

สวนกระถาง
สวนนงนุชพัทยา นำกระถางดินเผาที่ผลิตขึ้นมาเองมากกว่าหนึ่งแสนใบมาเรียงร้อยเป็นรูปทรงต่าง ๆ ตามจินตนาการ นับว่าเป็นภูมิปัญญา ของคนไทยที่น่าทึ่งและน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง

สวนกล้วยไม้
ชมกล้วยไม้พันธุ์ต่าง ๆ จากเหล่งต่าง ๆ ทั่วโลก และกล้วยไม้ลูกผสม สายพันธุ์ใหม่ที่สวนนงนุชพัทยาได้ทำการผสมสายพันธุ์ขึ้นเอง

สวนยุโรป
การจัดสวนในแบบยุโรป ประกอบไปด้วยไม้ตัดพุ่ม รูปทรงต่าง ๆ เช่น ทรงกรวย ทรงกลม ทรงแท่ง ซึ่งตัดตกแต่งให้ดูสวยงาม และผสมผสานกับการจัดวางรูปปั้นต่าง ๆ อย่างกลมกลืน



ขอบคุณข้อมูลจาก  http://www.paiduaykan.com/province/east/chonburi/nongnochgardan.html

เมืองจำลอง พัทยา

เมืองจำลองตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท หลักกิโลเมตรที่ 143 เลยสี่แยก ตลาดนาเกลือ ประมาณ 500 เมตร เป็น สถานที่รวบรวมของโบราณสถาน และสถานที่สำคัญ เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สะพานข้ามแม่น้ำแคว สะพานพระราม 9 ปราสาทหินพิมาย ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีมินิยุโรป ซึ่งจำลองสถาปัตยกรรม ที่มีชื่อเสียง ของประเทศต่างๆ ทั่วภาคพื้นทวีปยุโรป และอเมริกา เช่นหอไอเฟล เทพี สันติภาพ แกรนแคนยอน ฯลฯ








เมืองจำลอง ก็เกิดขึ้นภายใต้แนวความคิดแบบเดียวกันนี้ โดยคุณเกษม เกษมเกียรติสกุล ซึ่งมีความสนใจ งานศิลปกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อีกทั้งยังได้มีโอกาสเดินทาง ไปทำธุรกิจ และทำท่องเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ ในหลายประเทศ และในส่วนนี้ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่ได้ไปเยือนแล้ว เกิดความ ประทับใจ จนกระทั่งได้มีโอกาสไปเที่ยวชมที่ Madurodum ประเทศเนเธอแลนด์ และ Window on China ประเทศ ไต้หวัน ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้จำลองสถานที่ และสถาปัตยกรรมที่สำคัญของโลกมารวบ รวมไว้ในอัตราส่วน1:25 เพื่อแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชม จึงได้เกิดความคิดว่าในเมืองไทยก็มีศิลปะที่มีความ สวยงามไม่แพ้กันรวมทั้ง สถาปัตยกรรม และโบราณสถานทางประวัติศาสตร์อยู่หลายแห่ง

ซึ่งโอกาสที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ จะสามารถไปเที่ยวชมในทุกสถานที่นั้นมีน้อยมากแต่ถ้าเรา สามารถรวบรวมสถานที่สำคัญ ๆ เหล่านี้มาจำลองรวมไว้ใน ที่เดียวกัน โดยยังคงรักษารายละเอียดไว้ได้เหมือน สถานที่จริง คงจะทำให้นักท่องเที่ยวรวมทั้งนักเรียน นักศึกษาที่ได้ ้เข้าไปสัมผัส ได้รับรู้คุณค่า และความสวยงาม ของสถาปัตยกรรมไทยได้มากขึ้น หลังจากที่เกิดแนวคิดนี้ คุณเกษม เกษมเกียรติสกุล ได้ใช้เวลากว่า 5 ปีใน การเดินทางไปสำรวจและศึกษาสถานที่ สำคัญต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย ตลอดจนยังต้องเดินทางไปยังต่างประเทศ เพื่อศึกษา และรวบรวมงานศิลปกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ที่มีความโดดเด่น เพื่อนำสิ่งเหล่านั้นมา ถ่ายทอดผ่านผลงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ์ตามแนวคิดที่ได้ตั้งใจไว้ จนกระทั่งปี พ.ศ.2529 เมืองจำลองจึงเกิด ขึ้นภายใต้แนวคิดดังกล่าวที่ต้องการให้เป็นสถานที่ ี่ท่องเที่ยวเชิงวิชาการในพื้นที่ 30 ไร่





ขอบคุณข้อมูลจาก..http://www.paiduaykan.com/76_province/east/chonburi/minisiam.html

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว


สถานที่อันเป็นธรรมภูมิที่งดงาม ซึ่งเรียกว่าผาซ่อนแก้วนี้ มีธรรมชาติเป็นภูเขาที่สูงใหญ่ ซ้อนกันเป็นทิวเขาเรียงรายโอบรอบบริเวณศาลาปฏิบัติธรรม และบนยอดเขาสูงตระหง่านนั้น มีถ้ำอยู่บนปลายยอดเขา ซึ่งมีชาวบ้านทางแดงหลายคน ได้เห็นลูกแก้วลอยเหนือฟากฟ้า และลับหายเข้าไปในถ้ำบนยอดผา ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา และต่างถือว่าเป็นสถานที่มงคล มีความศักดิ์สิทธิ์และเรียกตาม ๆ กันว่า “ผาซ่อนแก้ว” และพุทธสถานที่มาตั้งในจุดที่โอบล้อมด้วยทิวเขาดังกล่าว จึงเรียกว่า “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” เพื่อเป็นนิมิตมงคลแก่ชาวบ้านทางแดง และผู้มาปฏิบัติธรรมสืบไป

พระครูปลัดปารมี สุรยุทโธ และ พระครูใบฎีกาอำนาจ โอภาโส สองครูบาอาจารย์คู่บุญคู่บารมี ร่วมกับคณะศิษยานุศิษย์และเหล่าผู้มีจิตศรัทธาจากทั่วประเทศได้ร่วมกันจัด สร้างเสนาสนะ กุฏิที่พักสงฆ์ อาคารปฎิบัติและบรรยายธรรม รวมถึงอาคารที่พักผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อรองรับคณะผู้มีจิตศรัทธาจากทุกแห่งหนที่ หลั่งไหลกันเข้ามาอบรมภาวนาในแนวสติปัฎฐานสี่ แห่งองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากันอย่างต่อเนื่อง  เป็นที่ปิติยินดียิ่งของครูบาอาจารย์กับเหล่าบรรดาศิษยานุศิษย์ที่ได้ร่วม แรงร่วมใจ สละทั้งแรงกาย แรงทรัพย์  พร้อมทั้งความวิริยะอุตสาหะ และ ความตั้งใจมั่นเพื่อให้วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วเป็นที่ปฏิบัติภาวนาสำหรับผู้มีจิตศรัทธาสืบต่อไป…


วัตถุประสงค์การสร้าง
เพื่อเป็นที่สอนปฏิบัติการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงชี้ว่าเป็นทางสายเอกที่นำไปสู่ความบริสุทธิ์ของกายและใจ ความดับทุกข์ การเข้าถึงมรรคและพระนิพพาน
วัดพระธาตุผาแก้ว เป็นที่วิเวกสงบโอบล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงาม ซึ่งความเบิกบานของธรรมชาติ เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดสมาธิ เรียกว่าความสุขเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ สมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา ซึ่งศาสนาพุทธล้วนเป็นกระบวนการของเหตุปัจจัย ดังนั้น สถานที่แห่งนี้จึงสร้างให้เหมาะกับเหตุปัจจัย ที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่จะช่วยน้อมนำมาสู่ธรรมชาติภายในของตัวเอง





ขอบคุณข้อมูลจาก..www.phasornkaew.org

โมโกจู อุทยานแห่งชาติแม่วงก์

โมโกจู ขุนเขาแห่งความหนาวเย็น















ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดสูงสุดแห่งหนึ่งในผืนป่าตะวันตก สำหรับ "ยอดเขาโมโกจู" ด้วยความสูง 1,964 เมตร จากระดับน้ำทะเล โมโกจู จึงเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดใน อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ และอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ประมาณ 27 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเท้าไป-กลับ 5 วัน แม้ระยะทางจะไกลและยากแก่การเข้าไปถึง แต่ โมโกจู ก็ยังเป็นจุดหมายปลายทางของนักเดินทางหลาย ๆ คน ที่จะเก็บเป็นความประทับใจครั้งหนึ่งในชีวิต 

          คำว่า "โมโกจู" เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า เหมือนฝนจะตก ซึ่งเนื่องจากบนยอดเขามักถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอก และมีอากาศหนาวเย็นตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว อากาศเย็นยะเยือกและมองจากยอดเขาลงไป จะเห็นทะเลหมอกห่มคลุมผืนป่าจดโค้งขอบฟ้า เหนือป่าตะวันตกอันกว้างไกลสุดสายตา
สำหรับการเดินเท้าขึ้น โมโกจู จะต้องติดต่อจองช่วงเวลากับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์โดยตรง และจะต้องดำเนินการตามระเบียบและขั้นตอนของทางอุทยานฯ อย่างเคร่งครัด รวมถึงควรเตรียมร่างกายให้แข็งแรง เพราะทางเดินขึ้นเขามีความลาดชันไม่ต่ำกว่า 60 องศา ใช้เวลาในการเดินทางไป-กลับ 5 วัน และต้องพักแรมในป่าตามจุดที่กำหนด นอกจากนั้น ควรศึกษาสภาพเส้นทางและสภาพอากาศ 


 หมายเหตุ : เส้นทางไป ยอดเขาโมโกจู เป็นเส้นทางเดินป่าระยะไกล ต้องข้ามน้ำ ปีนเขาที่สูงชันมาก ใช้เวลาเดินป่าไป-กลับ 5 วัน จึงควรเตรียมร่างกายกับสัมภาระให้พร้อม และติดต่อเพื่อขอเจ้าหน้าที่นำทางจากอุทยานฯ ล่วงหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์ ช่วงเวลาที่เปิดให้เดินป่าคือเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ของทุกปี

ขอบคุณข้อมูลจาก เว๊ปไซค์ http://travel.kapook.com/view28528.html