วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

ชาวเขาเผ่าเมี่ยน


ประวัติความเป็นมา(ชาวเขาเผ่าเมี่ยน)

เมี่ยน [เย้า] ได้รับการจัดให้อยู่ในเชื้อชาติ มองโกลอยด์ คืออยู่ในตระกูลจีนธิเบต ได้ปรากฏครั้งแรกในเอกสารบันทึกของจีน สมัยราชวงศ์ถัง โดยปรากฏในชื่อ ม่อ เย้า มีความหมายว่าไม่อยู่ใต้อำนาจของผู้ใด เล่ากันว่า เมื่อประมาณ 2000 กว่าปีมาแล้วบรรพชน ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ราบรอบทะเลสาปตงถิง แถบแม่น้ำแยงซี ยอมอ่อนน้อมให้ชนชาติผู้ปกครองรัฐ และไม่ยินยอมอยู่ภายใต้การบังคับกดขี่ของรัฐ จึงได้ทำการอพยพเข้าไปในป่าลึกบนภูเขาสูง ได้ตั้งถิ่นฐานสร้างบ้านด้วยมือของเขาเอง เพื่อปกป้องเสรีภาพจึงถูกขนานนามว่า ม่อ เย้า ซึ่ง เหยา ซี เหลียน ได้บันทึกไว้ในเหลียงซูต่อมาในสมัยราชวงศ์ซ่ง คำเรียกนี้ี้ถูกยกเลิกไปเหลือแต่คำว่า "เย้า" เท่านั้น

            ต่อมาคำว่าเย้าเคยปรากฏในเอกสารจีน เมื่อประมาณศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตศักราช ซึ่งมีความหมายว่าป่าเถื่อน หรือคนป่ากล่าวกันว่าในประเทศจีนชนชาติเย้ามีคำเรียกขานชื่อของตนเองแตกต่างกันถึง 28 ชื่อ แต่คนเย้าในประเทศไทย เรียกตัวเองว่า เมี่ยน หรือ อิ้วเมี่ยน ซึ่งมีความหมายว่า มนุษย์ หรือ คนเหยา ซุ่น อัน กล่าวว่าชาวเย้าในประเทศจีนแยกออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ คือ เผ่าเปี้ยน เผ่าปูนู เผ่าฉาซัน และเผ่าผิงตี้ ชาวเย้าเผ่าเปี้ยนมีประชากรมากที่สุดและเป็นกลุ่มที่ย้ายถิ่นฐานตลอดเวลาเป็นระยะทางที่ไกลที่สุด และกระจายกันอยู่ในอาณาบริเวณที่กว้างขวางที่สุดด้วย ภาษาเย้าในปัจจุบัน ผ่านการพัฒนากลายเป็นภาษาถิ่นย่อย 3 ภาษา คือ ภาษาเมี่ยน ภาษาปูนู และภาษาลักจา


นักศึกษาลงพื้นที่สำรวจ ชาวเขาเผ่าเมี่ยน

ชาวเขาเผ่าเมี่ยน อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร

- ปี 28 อยู่ช่องเย็น ตรงลานด้านล่าง ละขึ้นเขา (ทำไร่ข้าวโพด ไร่เลื่อนลอย) อพยพและย้ายที่อยู่มาหลายที่  เชียงราย พะเยาตอนอยู่บนเขามีคนอยู่เยอะหลายร้อยหลังคาเรือน ครอบครัวละ 10 คน และต่อมากรมป่าไม้ให้ลงจากเเนื่องจากทำตัดไม้ทำลายป่า เกรงว่าจะปลูกฝิ่น   และเอามาทำบ้านเรือน ทำไร่ข้าวโพด

 ปี 45 ลงมาจากเขาอยู่ที่ราบในปัจจุบัน

-       หลวงได้จัดสรรที่ทำกิน ครัวเรือนละ 15 ไร่ เพื่อที่จะไม่ต้องไปตัดไม้ทำรายป่า(หลวงดูแลหลังจากลงจากเขา 2 ปีแรก)
-       คนสูงอายุ ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ ทำให้มีปัญหาเรื่องการสื่อสาร
-       คนรุ่นใหม่ ส่วนมากคุยภาษาไทย จะมีคุยภาษาเผ่าบ้างเล็กน้อย เว้นคนสูงอายุ จะคุยภาษาเผ่าเป็นส่วนใหญ่

-       สถานที่อพยพตอนแรกจะให้อยู่ชั่วคราว เลยปลูกบ้านชิดกัน แต่กลายเป็นว่าได้อยู่ถาวร มีทั้งหมด 4 หมู่บ้าน บางหลังคาเรือนย้ายเข้าคลองลานไป

อาชีพ

               ารดำรงชีวิตตามปกติของชาวเมี่ยน แล้วอาชีพที่จะเป็่นอาชีพหลัก คือ การประกอบอาชีพแบบไร่เลื่อนลอยเป็นส่วนใหญ่ ทั้งในอตีดและปัจจุบัน ซึ่งปัจจุบันนั้นอาจมีอาชีพหลากหลายเข้ามา เช่น การทำเครื่องเงิน เพราะชาวเมี่ยนนิยมเครื่องประดับที่ทำด้วยเงิน ในหมู่ชนชาวเมี่ยนมีช่างทำเครื่องประดับตามวัฒนธรรม และค่านิยมของชาวเมี่ยนเอง ซึ่งสภาพแวดล้อมทางสังคมอาจทำให้ชาวเมี่ยนเกิดอาชีพอื่น ๆ ขึ้นมา แต่อาชีพหลักของชาวเมี่ยน คือ การทำการเกษตร ชาวเมี่ยนนิยมปลูกพืชต่าง ๆ แค่พออยู่พอกินเท่านั้น ซึ่งถ้าเหลือค่อยนำไปเป็นการค้าต่อไป เมื่อได้ผลผลิตออกมาแล้ว ก็จะทำการเก็บรักษาเอาไว้เพื่อเก็บไว้กินในช่วงฤดูแล้งการเพาะปลูกในระยะ 1ปีแรกชาวเมี่ยนจะไม่นิยมเอาพืชไร่ออกไปขาย

อาชีพเสริมยามว่างจากการทำไร่ (การปักผ้า)

ป้าซิง ฝีมือการปักผ้าอันดับหนึ่งของเผ่า
นั่งปักผ้า ยามว่างจากการทำไร่

การปักผ้าจากด้านหลังของผ้า

            สมัยก่อนเมี่ยนการคมนาคมการค้าขายยังไปไม่ถึงบนดอย ส่วนใหญ่เมี่ยนนิยมใช้สีปักลาย เพียง 5 สีเท่านั้น คือสีแดง สีเหลือง สีน้ำเงินสีเขียวและสีขาวในช่วงสองทศวรรษ ที่ผ่านมานี้เมี่ยนนิยม ปักลายผ้าเพิ่มมากขึ้นและใช้สีต่างๆเพิ่มขึ้นมากอีกด้วยการปักลายและการใช้ สีสันในการปักลายใน แต่ละท้องถิ่นจะแตกต่างกันบ้างตามความนิยมของแต่ละท้องถิ่น การปักลายเสื้อผ้าทุกวัน นี้หญิงเมี่ยน ก็ยังคงแต่งกายตามแบบฉบับที่ระบุไว้ในตำนานได้อย่างเคร่งครัด ผ้าที่เมี่ยนนำมา ปักลายเป็นผ้าทอมือ กล่าวกันว่าเมี่ยนเคยทอผ้าใช้เอง แต่เมื่ออพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทย แล้วค้นพบว่าผ้าทอมือของ ไทลื้อที่มีถิ่นฐานอยู่ในประเทศพม่า และประเทศไทยเหมาะ แก่การปักลายจึงได้ซื้อผ้าทอมือ ของไทลื้อมาย้อมและปักลายจนกลายเป็นความนิยมของเมี่ยนไป


               เสื้อผ้าจากตำนานที่บันทึกไว้ในหนังสือเดินทางข้ามเขตภูเขา [เกีย เซ็น ป๊อง] ที่เมี่ยนได้คัดลอกกันต่อ ๆ มาจนถึงทุกวันนี้ ระบุให้ลูกหลานเมี่ยน ปกปิดร่างกายของผันหู ผู้ให้กำเนิดเมี่ยน โดยใช้เสื้อลายห้าสีคลุมร่าง เข็มขัดรัดเอวผ้าเช็ดหน้าลายดอกไม้ผูกที่หน้าผาก กางเกงลายปิดก้น ผ้าลายสองผืนปิดที่ขา เชื่อกันว่าจากตำนานนี้เองทำให้เมี่ยนใช้เสื้อ ผ้าคาดเอวผ้าโพกศีรษะ และกางเกงที่ปักด้วยห้าสี

                เมี่ยนมีลักษณะการแต่งกาย การใช้สีสัน จะแตกต่างกันบ้างเพียงเล็กน้อย เมื่อแต่งกายตามจารีตประเพณีก็พอจะทราบได้ว่ามีถิ่นฐานอยู่ในท้องที่ใด หรืออยู่ในกลุ่มใด แต่มีบ้างที่กลุ่มที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงกันจะมีการลอกเลียนแบบซึ่งกันและกันบ้างการปักลายเมี่ยนจะจับผ้า และจับเข็มแตกต่างกับเผ่าอื่น ๆ เมี่ยนจะปักผ้าจากด้านหลังผ้าขึ้นมา

                ยังด้านหน้าของผ้าเมี่ยนจึงต้องจับผ้าให้ด้านหน้าคว่ำลง เมื่อปักเสร็จแต่ละแถวแล้วก็จะม้วน และใช้ผ้าห่อไว้อีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันสิ่งสกปรกต่าง ๆ การปักลายเสื้อผ้าเพื่อใช้ทำเป็นเครื่องแต่งกาย และของใช้ตามจารีตประเพณี เมี่ยนมีวิธีการปักลาย สี่ แบบคือ การปักลายเส้น [กิ่ว กิ่ว] การปักลายขัด [โฉ่ง เกียม] การปักลายแบบกากบาท [โฉ่ง ทิว] และการปักไขว้ [โฉ่ง ดับ ยับ]

                 การเรียกชื่อลายปัก ในการปักลายสตรีเมี่ยนจะต้องจดจำชื่อ และวิธีการปักลายไปพร้อม กัน สำหรับการปักลายขัด [โฉ่ง เกียม] และลายกากบาท [โฉ่ง ทิว] ส่วนใหญ่จะเป็นลายเก่าที่ชื่อเรียกเหมือนกัน แต่สำหรับลายไขว้ [โฉ่ง ดับ ยับ] นั้น เมี่ยนอาจนำลักษณะเด่นของแต่ละลายปักเดิมมาปรับปรุง หรือปักเพิ่มเติมให้ลายปักใหม่อีกลายหนึ่ง และให้สีสันสวยงามตามใจตนเองชอบ โดยอาจตั้งชื่อใหม่ก็ได้ นอกจากนี้สตรีเมี่ยนบางคนที่มีความเฉลียวฉลาดอาจประดิษฐ์ลายปักใหม่ ขึ้นมาโดยการนำ ส่วนประกอบของลายต่าง มาประกอบเข้าด้วยกัน หรือดัดแปลงเป็นลายปักใหม่แล้วตั้งชื่อเรียกใหม่ แต่โดยทั่วไปแล้วจะเรียกชื่อที่คงลักษณะเด่นของลายเดิม เช่น ลายปักหมวกขององค์ผู้บริสุทธิ์ทั้งสาม [ฟามกุน] เป็นลายที่ปรับปรุงมาจากลายฟามซิง บางครั้งลายปักแบบปักไขว้แต่ละลายนี้มีลายละเอียดแตกต่างกันไป บางหมู่บ้านที่มีขนาดใหญ่ แต่ละกลุ่มอาจเรียกชื่อที่แตกต่างกันด้วย และบ่อยครั้งพบว่าเมี่ยนเรียกชื่ออย่างเดียวกัน แต่เป็นลายปักแตกต่างกันก็มี แต่อย่างไรก็ตามชื่อลายปักที่เมี่ยนเรียกกันจะมีความหมายที่สัมพันธ์ หรือเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง คือ ความเชื่อ วิธีการปักลาย พืชผลทางการเกษตร
                 ถึงแม้เมี่ยนจะปักลายตามความเชื่อ แต่เมี่ยนไม่ได้ถือว่าลายปักนั้น เป็นเครื่องลางของขลังหรือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ การปักลายจึงเน้น ที่ความสวยงามมากกว่าที่จะเป็นเครื่องลางของขลัง นอกจากนี้เมี่ยนยังเชื่อว่ากางเกงของผู้หญิง เป็นของต่ำไม่สมควรที่จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่อาจเป็นไปได้ที่ว่าเมี่ยนต้องการแสดงให้เห็นว่า เมี่ยนเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อในเรื่องเทพยดา

ลายผ้าที่สวยงาม และ ปราณีต
ผ้าปักหนึ่งผืน ใช้เวลาทำ 4 - 5 เดือน
นักศึกษาการตลาดร่วมถ่ายรูปกับชาวเขา

ที่อยู่อาศัย(ลักษณะบ้าน)

              ชาวเมี่ยนนิยมสร้างบ้านที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000-1,500 เมตร ปัจจุบันชาวเมี่ยนบางกลุ่มอาศัยอยู่พื้นที่ราบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสะดวกในการประกอบอาชีพ และการปกครองของทางราชการ บ้านของเมี่ยนมักหันหลังสู่เนินเขา หากอยู่พื้นราบมักหันหน้าออกสู่ถนน ผังบ้านเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ปลูกคร่อมดินมีห้องนอนแบ่งแยกย่อยเป็นหลาย ๆ ห้องภายในบ้าน พ่อแม่แยกห้องให้ลูกสาวเมื่อเห็นว่าลูกสาวเริ่มเป็นสาวแล้ว ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการเลือกคู่ของหญิงสาวตามประเพณีการเที่ยวสาว มีห้องครัวแยกไปอีกห้องหนึ่ง และมีบริเวณห้องใหญ่เป็นที่โล่งมีแคร่ หรือเตียงไว้นั่งเล่น หรือสำหรับแขกมุมใดมุมหนึ่งของห้อง ในบ้านไม่มีหน้าต่าง แต่มีประตูเข้าออกหลายทาง ประตูที่สำคัญที่สุด คือประตูผี หรือประตูใหญ่ เป็นประตูที่ใช้ติดต่อกับวิญญาณ หรือแสดงการเพิ่ม หรือลดสมาชิกของตระกูล เมื่อมีพิธีศพหรือแต่งงานจะต้องใช้ประตูนี้เป็นทางเข้าและออก
             เวลาปกติ ทุกคนสามารถเดินเข้าออกทางนี้ได้ ประตูจะตรงกันข้ามกับหิ้งผี หรือเมี้ยนเตีย ก่อนสร้างบ้านต้องเอาดวงเกิดของหัวหน้าครอบครัวไปดูว่าประตูผีนี้จะหันหน้าไปทางทิศใด ก็จะตั้งบ้านตามทางที่สอดคล้องกับดวงของผู้นำครอบครัว ครอบครัวส่วนใหญ่เป็นครอบครัวขยาย เมื่อผู้ชายเมี่ยนแต่งงานจะนิยมนำภรรยาของตนมาอยู่กับฝ่ายพ่อแม่ของตนเอง 

         ผู้อาวุโสฝ่ายชายจะเป็นผู้นำครอบครัวและมีอำนาจสูงสุดในบ้าน ยกเว้นเฉพาะในเรื่องงานครัว ซึ่งเป็นหน้าที่ของฝ่ายหญิง ส่วนในเรื่องอื่น ๆ แล้ว ผู้อาวุโสจะเป็นผู้ตัดสิน แต่ก่อนการตัดสินใจมักจะมีการปรึกษาหารือกับสมาชิกในบ้าน คือบุตรชายคนโต และภรรยาก่อน ส่วนการรักษาพยาบาล ดูแลบุตร หรือเจ็บป่วยเล็กน้อยของสมาชิก สตรีเมี่ยนจะมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรมากกว่าผู้ชาย และปลูกสมุนไพรไว้ใช้เอง ผู้หญิงเมี่ยนจะทำงานหนัก พอมีเวลาว่างก็ปักผ้าสำหรับใช้เอง หรือเป็นรายได้พิเศษ จึงมักจะไม่ค่อยเห็นผู้หญิงเมี่ยนว่างเลย เมี่ยนให้ความนับถือ และสืบเชื้อสายทางฝ่าย โดยลูกจะใช้แซ่ตามพ่อ และวิญญาณบรรพษุรุษของพ่อชาวเมี่ยน มีอิสระในการเลือกคู่ครอง นิยมที่จะแต่งงานกับคนในกลุ่มชาย และหญิงที่ใช้แซ่เดียวกัน แต่อยู่คนละกลุ่มเครือญาติย่อยสามารถแต่งงานได้

เพิ่มคำอธิบายภาพ

เพิ่มคำอธิบายภาพ


วิถีชีวิต ณ ปัจจุบัน

            ชาวเขาเผ่าเมี่ยนได้อพยพลงจากเขา มาใช้ชีวิตอยู่ข้างล่างพื้นราบ ทำให้การใช้ชีวิตเปลี่ยนไป การแต่งกายก็จะแต่งเฉพราะที่มีพิธีสำคัญเท่านั้น ปกติก็จะแต่งกายเหมือนชาวไทยปกติ อาหารการกินส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ผลิตวัตถุเอง ซื้ออาหารตลาดทานทั่วไป
             ภาษาประจำเผ่าก็มีเพียงแต่คนเฒ่าคนแก่ในเผ่าใช้สื่อสารกัน รุ่นลูกรุ่นหลานก็ใช้ภาษาไทยเป็นหลัก การใช้ชีวิตในสังคมยังเป็นที่ต้องได้รับความช่วยเหลือ และการยอมรับจากสังคมอีกมาก สิทธิ์ในการได้รับความช่วยเหลือหรือการบริจาคมักจะมาไม่ค่อยถึงชุมชนชาวเขา จะให้สิทธิ์กับคนไทยก่อนเสมอ และยังคงมีการปักผ้าสืบต่อกันมาจนปัจจุบัน แต่หน้าเสียดายที่คนหนุ่มสาวในชนเผ่าไม่ค่อยมีใครสนใจเรียนรู้หรือสืบต่อวิธีการปักผ้า สักวันนึงวันคงจะหายไปตามกาลเวลา......

     พวกเรานักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎกำแพงเพชร สาขาการตลาด ได้ลงพื้นที่สำรวจชุมชนเชิงวิถีชีวิตไว้เป็นกรณีศึกษา









สถานทีติดต่อ
หมู่ 1 กลุ่ม 1 ต.สักงาม อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร
ป้าอ้วน เบอร์โทร 087-406-8279











วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ตลาดน้ำอัมพวา


ในอดีต อัมพวา ถือว่าเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางน้ำที่สำคัญของจังหวัดสมุทรสงคราม มีตลาดน้ำขนาด ใหญ่และชุมชนริมน้ำที่เป็นศูนย์กลางด้านพาณิชยกรรม แต่ผลกระทบของการพัฒนาการคมนาคมทางบก ทำให้ ความเป็นศูนย์กลางฯ ของอัมพวาต้องสูญเสียไป ตลาดน้ำค่อยๆลดความสำคัญและสูญหายไปในที่สุด ทิ้งไว้แต่ ร่องรอยของความเจริญในอดีตซึ่งยังคงปรากฏให้เห็นชัดเจนในทุกวันนี้ทางเทศบาลตำบลอัมพวาโดยความร่วมมือ ร่วมใจของประชาชนในท้องถิ่น ได้ฟื้นฟูตลาดน้ำอัมพวาขึ้นมาอีกครั้งเพื่ออนุรักษ์ความเป็นอยู่ของชุมชนริมน้ำ ซึ่งในปัจจุบันจะหาดูได้ยาก ให้สืบทอดตลอดไป โดยใช้ ชื่อว่า "ตลาดน้ำอัมพวายามเย็น"
ตลาดน้ำอัมพวา จะมีทุกวันศุกร์ วันเสาร์ และวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป ตลาดน้ำโดย ทั่วไปมัก จะจัดขึ้นในเวลากลางวัน แต่ตลาดน้ำยามเย็น ที่อัมพวาแห่งนี้ จะจัดขึ้นในช่วงงเวลาเย็นเรื่อยไปจนถึงเวลาพลบค่ำ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นตลาดน้ำแห่งแรกของประเทศไทย ที่จัดในลักษณะเช่นนี้ ในตอนเย็นชาวบ้านจะเริ่มทยอย พายเรือนำสินค้าหลากหลายนานาชนิด อาทิ อาหาร ผลไม้ พืชผัก ขนม ของกินของใช้ มาขายให้กับนักท่องเที่ยว หรือคนในท้องถิ่นที่สัญจรไปมาที่ตลาดอัมพวา ทำให้ได้สัมผัสกับธรรมชาติของชีวิตของชุมชนริมน้ำ ซึ่งเป็นที่น่า ประทับใจอย่างยิ่ง นักท่องเที่ยวสามารถที่จะหาซื้ออาหารมานั่งรับประทาน บริเวณริมคลองอัมพวาติดกับตลาดน้ำ ซึ่งได้มีการจัด สถานที่ไว้ ทำให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น


กิจกรรมของการท่องเที่ยวตลาดน้ำอัมพวา

1. ชิมอาหารพื้นบ้านทั้งคาวหวาน 
ใครที่มาเที่ยวตลาดน้ำ้อัมพวาแล้วไม่ได้มาชิม อาหารพื้นบ้านที่แม่ค้าและพ่อค้าพายเรือ มาขายให้เลือกซื้อเลือก ชิม กิน รวมถึงอาหารที่ขายอยู่ตามร้านอาหารบนฝั่งก็มีให้เลือกชิมเช่นกัน หากใครมาเที่ยวที่นี่ เมนูเด็กที่ไม่ควร พลาด คือ ปลาหมึกและกุ้ง ที่ย่างกันสดๆบนเตาพร้อมน้ำจิ้มรสแซ่บ ก๋วยเตี๋ยวเรือเลิศ รวมถึงขนมพื้นบ้านอย่าง ขนมไข่ที่มีวุ้น หลากสีสรรอยู่ข้างในน่ารับประทานยิ่งนัก ขนมหวานก็มีทองหยิบ ทองหยอด ขนมสอดไส้ เยอะแยะ มากมาย กินไป อยากหาเครื่องดื่มแก้กระหายน้ำก็มีกาแฟโบราณ น้ำผลไม้สมุนไพรต่างๆ ที่มีขายอยู่ทั่วไป ทั้งบน สองข้างทาง

2. เดินเยี่ยมชมร้านค้าขายของที่ระลึกและวิถีชีวิตชาวบ้าน
ตลาดน้ำอัมพวาทั้งสองข้างทางไม่ว่าจะฝั่งริมน้ำมีของที่ระลึกให้เราได้เข้าไปเลือกซื้อเลือกหามาฝากคนที่บ้าน เริ่มตั้งแต่ ของที่ระลึกยอดฮิตของตลาดน้ำอัมพวาที่เดินไปทางใดก็เหน็อยู่ตลอดทาง คือ โปสการ์ด ซึ่งบอกเล่า เรื่องราวของเมือง อัมพวานี้ได้เป็นอย่างดี หรือใครอยากได้เสื้อเก๋ๆจากที่นี่ซักตัวก็ลองเลือกแบบเลือกลายดูได้ แบบเก๋ไม่ซ้ำใคร เดินชม ไปตลอด 2 ฝั่ง ก็ชมวิถีชีวิตบ้านเรือนไม้สมัยก่อนไปด้วยก็เพลินดีแท้

3. ล่องเรือชมวิถีชีวิตริมน้ำ
ก่อนที่จะมาเที่ยวตลาดน้ำอัมพวาในตอนเย็น นักท่องเที่ยวบางคนก็นิยมล่องเรือชมทิวทัศน์ของแม่น้ำแม่กลองเพื่อชม วิถีชิตและบ้านเรือนริมน้ำ ที่จะได้เห็นตลอดทางที่เรือแล่นไป หรืออาจจะแวะชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างที่น่าสนใจ เช่นวัดบางแคน้อบ ค่ายบางกุ้ง โบสต์คริสต์ เป็นต้น

4. ล่องเรือชมหิ่งห้อย 
ถือเป็นไฮไลต์เด็ดของการมาท่องเที่ยวที่นี่เลยก็ว่าได้นักท่องเที่ยวที่มีความประสงค์จะนั่งเรือชม ประกายความ งามยาม ค่ำคืนชมหิ่งห้อย หรือล่องเรือท่องเที่ยวตามลำน้ำแม่กลอง ก็สามารถติดต่อเรือได้ 
ติดต่อโทร.089-415-4523 ,ท่าเรือคุณย่า 081-557-0824







ขอบคุณข้อมูลจาก..http://www.paiduaykan.com/76_province/central/samutsongkhram/ampawa.html

บุญบั้งไฟ ยโสธร

ประเพณีบุญบั้งไฟยโสธร



งานประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นงานประเพณีท้องถิ่นของชาวอีสาน ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต และ ความเชื่อทางศาสนาของชาวอีสานมาช้านาน โดยเชื่อว่าเมื่อเข้าสู่ฤดูกาลปักดำทำนา จะต้องจุดบั้งไฟขึ้นไปบูชาพญาแถนบนฟากฟ้า เพื่อขอให้พญาแถน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งฝน ได้ดลบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล เพื่อให้สรรพสิ่งบนผืนโลกได้ดำเนินวีถีชีวิตไปตามครรลองที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะผู้คนบนผืนดินอีสาน ที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับการทำใร่ทำนามาช้านาน ต้องอาศัยข้าวและพืชผลทางการเกษตรในการหล่อเลี้ยง ดำรงชีวิตมาโดยตลอด น้ำฝนจากฟ้าจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง พิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ คืองานประเพณีแห่ และจุดบั้งไฟจึงถูก สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อเป็นความหวัง และกำลังใจ ของชาวอีสานมาโดยตลอด

งานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธรจัด ณ สวนสาธารณะพญาแถน และเขตเทศบาลเมืองยโสธร ประเพณีบุญบั้งไฟ หรือบุญเดือนหก จัดขึ้นเป็นประจำปีทุกปี ในช่วงอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคม ก่อนที่จะถึงฤดูลงมือทำนา ทำไมงานบุญบั้งไฟของชาวยโสธรถึงน่าสนใจ เนื่องจากบุญบั้งไฟของชาวยโสธรเป็นบุญบั้งไฟนานาชาติโดยมีบั้งไฟจากประเทศญี่ปุ่น และประเทศเพื่อนบ้านมาร่วมงานทุกปี ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก และดึงดูดชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวชมจำนวนมาก มีการประกวดแห่เซิ้งบั้งไฟ บั้งไฟสวยงาม ประกวดกองเชียร์ การประกวดธิดาบั้งไฟโก้ ฯลฯ
ประเพณีบุญบั้งไฟตามตำนานเล่าว่า เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าถือชาติกำเนิดเป็นพญาคางคก ได้อาศัยอยู่ใต้ร่มโพธิ์ใหญ่ในเมืองพันทุมวดี ด้วยเหตุใดไม่แจ้ง พญาแถนเทพเจ้าแห่งฝนโกรธเคืองโลกมนุษย์มาก จึงแกล้งไม่ให้ฝนตกนานถึง ๗ เดือน ทำให้เกิดความลำบากยากแค้นอย่างแสนสาหัสแก่มวลมนุษย์ สัตว์และพืช จนกระทั่งพากันล้มตายเป็นจำนวนมาก พวกที่แข็งแรงก็รอดตายและได้พากันมารวมกลุ่มใต้ต้นโพธิ์ใหญ่กับพญาคางคก สรรพสัตว์ทั้งหลายจึงได้หารือกันเพื่อจะหาวิธีการปราบพญาแถน ที่ประชุมได้ตกลงกันให้พญานาคียกทัพไปรบกับพญาแถน แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ จากนั้นจึงให้พญาต่อแตนยกทัพไปปราบแต่ก็ต้องพ่ายแพ้อีกเช่นกัน ทำให้พวกสรรพสัตว์ทั้งหลายเกิดความท้อถอย หมดกำลังใจและสิ้นหวัง ได้แต่รอวันตาย
ในที่สุด พญาคางคกจึงขออาสาที่จะไปรบกับพญาแถน จึงได้วางแผนในการรบโดยปลวกทั้งหลายก่อจอมปลวกขึ้นไปจนถึงเมืองพญาแถน เพื่อเป็นเส้นทางให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายได้เดินทางไปสู่เมืองพญาแถน ซึ่งมีมอด แมลงป่อง ตะขาบ สำหรับมอดได้รับหน้าที่ให้ทำการกัดเจาะด้ามอาวุธที่ทำด้วยไม้ทุกชนิด ส่วนแมลงป่องและตะขาบให้ซ่อนตัวอยู่ตามกองฟืนที่ใช้หุงต้มอาหาร และอยู่ตามเสื้อผ้าของไพร่พลพญาแถนทำหน้าที่กัดต่อย หลังจากวางแผนเรียบร้อย กองทัพพญาคางคกก็เดินทางเพื่อปฏิบัติหน้าที่การรบ มอดทำหน้าที่กัดเจาะด้ามอาวุธ แมลงป่องและตะขาบกัดต่อยไพร่พลของพญาแถนจนเจ็บปวด ร้องระงมจนกองทัพระส่ำระสาย ในที่สุดพญาแถนจึงได้ยอมแพ้และตกลงทำสัญญาสงบศึกกับพญาคางคก ดังนี้
  • ถ้ามวลมนุษย์จุดบั้งไฟขึ้นสู่ท้องฟ้าเมื่อใด ให้พญาแถนสั่งให้ฝนตกในโลกมนุษย์
  • ถ้าได้ยินเสียงกบ เขียดร้อง ให้รับรู้ว่าฝนได้ตกลงมาแล้ว
  • ถ้าได้ยินเสียงสนู (เสียงธนูหวายของว่าว) หรือเสียงโหวด ให้ฝนหยุดตกเพราะจะเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวข้าว หลังจากที่ได้สัญญากันแล้ว พญาแถนจึงได้ถูกปล่อยตัวไปและได้ปฏิบัติตามสัญญามาจนบัดนี้




สถานที่จัดงาน

ณ สวนสาธารณพญาแถน และ เขตเทศบาลเมืองยโสธร
ชมขบวนแห่บั้งไฟ และการจุดบั้งไฟแสน และบั้งไฟหมื่น ชมวิถีของคนทำบั้งไฟ และบรรยากาศการทำบั้งไฟ เพื่อเป็นการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีของจังหวัดให้คงอยู่สืบไป โดยในปีนี้จะพัฒนารูปแบบให้ยิ่งใหญ่ขึ้น เช่น การสถาปนาความสัมพันธ์เป็นเมืองพี่เมืองน้อง หรือเมืองคู่แฝดทางวัฒนธรรมประเพณีบุญบั้งไฟกับริวเซอิ เพื่อสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกันครบรอบ 20 ปี นอกจากนี้้ยังขยายเชื่อมความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เวียดนาม และเกาหลี อีกด้วย



ขอบคุณข้อมูลจาก...http://www.tpa.or.th/industry/upload/content/ContentImg2534.jpg

เกาะสิมิลัน


วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวทะเลดับร้อนกันที่ "อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน" หมู่เกาะกลางทะเลอันดามันที่เป็นเลิศในด้านความงามของปะการังใต้ท้องทะเล อยู่ที่ตำบลเกาะพระทอง อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา ครอบคลุมพื้นที่ 80,000 ไร่ ประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2525 




       สำหรับคำว่า "สิมิลัน" เป็นภาษายาวีหรือมลายู แปลว่า เก้าหรือหมู่เกาะเก้า ทั้งนี้ หมู่เกาะสิมิลันเป็นหมู่เกาะเล็กๆ ในทะเลอันดามัน มีทั้งหมด 9 เกาะ เรียงลำดับจากเหนือมาใต้ ได้แก่ เกาะหูยง เกาะปายัง เกาะปาหยัน เกาะเมี่ยง (มี 2 เกาะติดกัน) เกาะปายู เกาะหัวกระโหลก ( เกาะบอน) เกาะสิมิลัน และเกาะบางู มีที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน อยู่ที่เกาะเมี่ยงเพราะเป็นเกาะที่มีน้ำจืด หมู่เกาะเหล่านี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหมู่เกาะที่มีความงามทั้งบนบกและใต้น้ำที่ยังคงความสมบูรณ์ของท้องทะเล สามารถดำน้ำได้ทั้งน้ำตื้นและน้ำลึก มีปะการังที่มีสีสันสวยงามหลายชนิด ปลาหลากสีสันและหายาก เช่น กระเบนราหู ปลาวาฬ ปลาโลมา ปลาไหลมอนเร่ ปลาการ์ตูน 
 หากใครคิดจะไปเที่ยวที่ "อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน" ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนเมษายน เป็นช่วงที่น่าท่องเที่ยวมากที่สุด ส่วนช่วงเดือนพฤษภาคมถึงพฤศจิกายน เป็นฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ มีคลื่นลมแรงเป็นอันตรายต่อการเดินเรือ ซึ่งทางอุทยานแห่งชาติ จะประกาศปิดเกาะในเดือนพฤษภาคมเพื่อเป็นการฟื้นฟูธรรมชาติทุกปี 



          เอาล่ะ!! ได้เวลามาดูสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ภายในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลันกันแล้ว
          เริ่มกันที่ "เกาะสิมิลัน" ก่อนเลยแล้วกัน... เพื่อนๆ รู้ไหมว่า จริงๆ แล้ว "เกาะสิมิลัน" เนี่ย มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "เกาะแปด" เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะสิมิลัน ลักษณะอ่าวเป็นรูปโค้งเหมือนเกือกม้า มีหาดทรายขาวละเอียดเนียนนุ่ม น้ำทะเลสีใสน่าเล่น แถมใต้ท้องทะเลยังมีปะการังสวยงามหลากหลายชนิด ทั้งปะการังเขากวาง ปะการังใบไม้ ปะการังสมอง ปะการังดอกเห็ดขนาดใหญ่ที่มีความสมบูรณ์ กัลปังหา พัดทะเล กุ้งมังกร และปลาประเภทต่างๆ ที่มีสีสันสวยงามมากมาย เป็นเกาะที่สามารถดำน้ำได้ทั้งน้ำลึกและน้ำตื้น ส่วนทางด้านเหนือของเกาะนั้นก็มีก้อนหินขนาดใหญ่รูปร่างแปลกตาชวนให้แปลกใจ เช่น หินรูปรองเท้าบู๊ท หรือรูปหัวเป็ดโดนัลด์ดั๊ก ตอนบนที่ตรงกับแนวหาดมีหินรูปเรือใบ ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยงาม สามารถมองเห็นความสวยงามของท้องทะเลได้กว้างไกล (ว้าว...) 




การเดินทางไปอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน
          ท่าเรือทับละมุ อำเภอท้ายเหมือง อยู่ห่างจากอำเภอเมือง 70 กิโลเมตร ตามเส้นทางสายพังงา - ตะกั่วป่า และเป็นท่าเรือที่อยู่ใกล้อุทยานฯ ที่สุด ประมาณ 40 กิโลเมตร จากท่าเรือทับละมุใช้เวลาในการเดินทางไปหมู่เกาะสิมิลันประมาณ 3 - 4 ชั่วโมง มีเรือให้เช่าหลายขนาด สำหรับ 30 คน ราคาประมาณ 10,000 บาท และ 40 คน ราคาประมาณ 12,000 บาท และใกล้ๆ บริเวณท่าเรือทับละมุมีที่ทำการอุทยานฯ ตั้งอยู่ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะเดินทางไปหมู่เกาะสิมิลัน มีเรือขนาด 80 คน ราคา 2,300 บาท/คน (ราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้) 



ขอบคุณข้อมูลจาก...http://travel.kapook.com/view668.html

ดอยอินทนนท์

ถ้าจะพูดถึงสถานที่ที่นักเดินทาง ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น อยากจะไปสัมผัสให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต ชื่อของ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ หรือ ดอยอินทนนท์ ก็น่าจะอยู่ในลิสต์อันดับต้น ๆ เพราะไม่ว่าจะรักการเที่ยวแบบชิลล์ ๆ หรือลุย ๆ สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งนี้ ก็พร้อมต้อนรับด้วยความงดงามของธรรมชาติอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นความอุดมสมบูรณ์ของ ป่าใหญ่ดึกดำบรรพ์ (Old growth forest) สภาพอากาศที่หนาวเย็นและชุ่มฉ่ำตลอดทั้งปี ทำให้มีมอส เฟิร์นและพืชอิงอาศัย (epiphyte) ชนิดอื่น ๆ ขึ้นปกคลุมตามลำต้นอย่างหนาแน่น ใครที่เดินทางมาเที่ยวจะต้องประทับใจกับสีสันของใบไม้ป่าผลัดใบ ที่กำลังจะผลัดใบในช่วงปลายปี 




 ส่วนต้นปี ดอกไม้นานาชนิดก็บานสะพรั่งอดไม่ได้ที่จะกดชัตเตอร์ฝากภาพสวย ๆ ฝากเพื่อน หรือจะเลือกชมความโล่งของป่าทุ่งหญ้าหรือไร่ร้าง หน้าผาอันสูงชัน ทำให้มองเห็นสภาพภูมิประเทศได้กว้างไกล เป็นแหล่งที่อยู่ที่สำคัญของกวางผาและนกชนิดต่าง ๆ ก็สนุกไม่แพ้กัน

          อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ มีพื้นที่อยู่ในท้องที่อำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่ม กิ่งอำเภอดอยหล่อ และอำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ สามารถเข้าถึงได้โดยใช้เส้นทาง เชียงใหม่-ฮอด (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108) ไปยังอำเภอจอมทอง 50 กม. ระยะทางประมาณ 50 กม. เลี้ยวขวาตามถนนสาย จอมทอง-ดอยอินทนนท์ (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1009) ประมาณ 8 กม. ก็จะเริ่มเข้าเขตอุทยานแห่งชาติที่บริเวณน้ำตกแม่กลาง และตัดขึ้นสู่ยอดดอยอินทนนท์เป็นระยะทางทั้งหมด 49.8 กม. ที่ทำการอุทยานแห่งชาติจะตั้งอยู่ที่กิโลเมตรที่ 31 








ขอบคุณข้อมูลจาก...http://travel.kapook.com/view684.html

ตลาดน้ำเพลินวาน

เพลินวาน Plearn Wan




เพลินวานหัวหิน ชื่อที่หลายคนเคยได้ยิน เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของหัวหิน นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวหัวหิน มักจะต้องมาเที่ยวที่นี่ด้วย
เสน่ห์ของเพลินวานหัวหิน ที่ทำให้ทุกคนอยากมาที่นี่ คือการที่หลายคนคิดถึงอดีต และอยากย้อนกลับไปสัมผัสบรรยากาศนั้นอีกครั้ง ในขณะที่เด็กรุ่นใหม่ ก็อยากเรียนรู้วิถีชีวิตของคนไทยสมัยก่อน ว่าใช้ชีวิตกันอย่างไร เช่นข้าวของ เครื่องใช้ อาหาร หรือกิจกรรม บันเทิงต่างๆ

เพลินวานหัวหิน สถานที่จำลองตลาดของไทยสมัยโบราณ ได้จำลองบรรยากาศให้เป็นแบบตลาดสมัยเก่าในช่วงปี 2499 ทั้งอาคาร สถานที่ ร้านค้า อาหาร ขนมไทย สินค้าของฝาก ของเล่น สวนสนุก หนังกลางแปลง ชิงช้าสวรรค์ รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ซึ่งกิจกรรมหลายอย่าง เกือบไม่มีให้เห็นแล้วในปัจจุบัน
สิ่งที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวเพลินวานหัวหินอีกอย่างคือ สิ่งของเครื่องใช้ อาหาร และกิจกรรมที่มีอยู่ภายในเพลินวาน หัวหิน นักท่องเที่ยวสามารถซื้อขาย และใช้บริการได้จริง ซึ่งจะไม่เหมือนกับการเที่ยวพิพิธภัณฑ์ ที่ไม่สามารถใช้บริการได้เลย

เพลินวานหัวหิน นอกจากจะเป็นศูนย์รวมเรื่องราวในสมัยเก่า ให้ทุกคนได้มาเพลิดเพลิน เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีตจริงๆ แล้ว นอกจากการได้เลือกชม เลือกซื้อสินค้า ของฝาก ของขวัญ รับประทานอาหาร ขนม เครื่องดื่ม และรวมกิจกรรมภายในเพลินวานแล้ว
เพลินวานหัวหิน ยังมีบริการห้องพักคลาสสิกสไตล์เรโทร (Retro) ชื่อ พิมาน เพลินวาน ไว้บริการลูกค้าทั่วไป ภายในห้องพัก ถูกตกแต่งจำลองบรรยากาศห้องพักสมัยเก่า ทั้งอุปกรณ์ ข้าวของ เครื่องใช้ ที่ให้ให้ผู้มาพักรู้สึกถึงความแตกต่างจากโรงแรมทั่วไปที่เน้นความหรูหรา แต่ประทับใจในคุณภาพและการบริการ




ขอบคุณข้อมูลจาก...http://www.resorthuahin.com/Travel/plearnwan-huahin.html